๑๒/๑๖/๒๕๕๒

ทดสอบความสามารถของ Ultra Sonic Sound

๑๑/๑๐/๒๕๕๒

Hypersonic sound (future weapons)

LRAD ถูกนำมาใช้ในกรุงเทพฯ

ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่...ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม “คนเสื้อแดง” รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่คอยเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง ในวัน นปช. ชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. 52“เทคโนโลยีใหม่” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมนำมาเพื่อทำการ “สลายชุมนุม”หากเกิดเหตุรุนแรง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “เครื่องทำหูดับ”เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง...ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “ระบบประสาท”หากผู้ใช้ไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือ ผู้ได้รับคลื่นเสียงในความถี่ที่สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิด “อันตราย” ต่อร่างกายดังนั้น...จึงควรหาวิธีป้องกันหากรู้ว่า ร่างกายรับไม่ไหว หรือ เกินขีดจำกัด อันเป็นผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในอนาคตเครื่อง LRAD มีชื่อเต็มว่า Long Range Acoustic Device หลักการทำงานคือการใช้จานส่งคลื่นเสียงความถี่ 2.5 กิโลเฮิร์ตซ์ ด้วยเชิงมุม 30 องศาสามารถทำให้เกิดเสียงดังระดับ 146 เดซิเบล ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ในระยะ1 เมตรสามารถสูญเสียการได้ยิน “อย่างถาวร”เนื่องจากแก้วหูถูกทำลาย!สำหรับระยะ 300 เมตร ระดับเสียงจะดังประมาณ 90 เดซิเบลลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงของเครื่องตรวจจับควันไฟ แต่หวีดแหลมและดังกว่ามากๆโดยอุปกรณ์หลักในการสร้างคลื่นชนิดนี้คือ Piezoceramic Transducers ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนความถี่ของกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นคลื่นเสียงสำหรับ “วิธีป้องกัน” สามารถปฏิบัติได้โดย1. ใช้ Ear-plugs หรือที่อุดหู ควรเลือกชนิดที่ป้องกันเสียงได้สูงสุด เช่น Ear-Plugs สำหรับงานช่าง หรือ สำหรับซ้อมยิงปืน2. ถ้าไม่มี Ear-Plugs ควรประยุกต์สร้างอุปกรณ์อุดหูด้วยวัสดุที่ช่วยลดระดับเสียง เช่น กระดาษทิชชู หรือ ก้นบุหรี่ชุบน้ำให้หมาดหรือ เหลาจุกคอร์กให้มีขนาดที่เหมาะสม แล้วใช้แทน Ear-Plugs3. ตัดเล็บนิ้วมือให้สั้น โดยเฉพาะนิ้วก้อย เพราะถ้าไม่มี Ear-Plugs หรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ให้ใช้นิ้วก้อยอุดช่องหูให้แน่นที่สุด ผิวหนังของมนุษย์สามารถดูดซับให้คลื่นเสียงอ่อนกำลังลง4. ควรเตรียมหน้ากากสำหรับ “สะท้อนแนวคลื่น” ด้วยการใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ตัดให้มีขนาดความยาวพอที่จะพันรอบศีรษะได้เจาะรูรูปสามเหลี่ยม...สำหรับให้จมูกโผล่ออกมาเพื่อหายใจ เจาะรูตำแหน่งดวงตาเพื่อให้สามารถมองเห็น

เวลาที่ต้องการนำมาใช้ ให้แนบจมูกและดวงตาตรงกับตำแหน่งที่เจาะรูไว้ กดและขยำปลายแผ่นฟอยล์ให้แนบกับด้านหลัง-ด้านบน-ด้านข้าง ของศีรษะ โดยด้านที่มันเงาของแผ่นฟอยล์จะต้องอยู่ภายนอก เพื่อให้เกิดการสะท้อนและหักเหของคลื่นนี่เป็นวิธีป้องกันตนเองแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถช่วยลด “ความเสี่ยง” ต่ออันตรายในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นเพราะไม่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุม หรือ เจ้าหน้าที่ ต่างต้องทำหน้าที่ของตนให้เกิด“ประสิทธิภาพสูงสุด”ผู้ชุมนุม...มีสิทธิ์แสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ของกฎหมายเจ้าหน้าที่...มีสิทธิ์เข้าทำการ “สลายการชุมนุม” หากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งต้องใช้วิธีปฏิบัติในการ “ไม่ละเมิดสิทธิ” ของผู้ชุมนุมอย่างเคร่งครัด3 ปีแห่งการ “รัฐประหาร” เป็นความสุขของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ได้สร้างความเจ็บปวดภายในจิตใจของประชาชนคนไทยทั่วทั้งแผ่นดินสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พูดขึ้นเมื่อวานก่อนที่จะมีการชุมนุม “หากมีความเป็นไปได้ ตนอยากจุดธูปเทียนกราบไหว้กลุ่มคนเสื้อแดงว่าอย่ามาชุมนุม”“คุณสุเทพ” เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่รู้ทุกเรื่องราว...รู้ความเป็นไปในบ้านเมืองและรู้อยู่แก่ใจว่า...ประเทศชาติมัน “ขัดแย้ง” เดินมาไกลจนกว่าจะถอยหลังย้อนกลับ การชุมนุมของ “มหาประชาชน” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หรือพรรคพวกใดจะยังคงดำเนินต่อไป...ท่ามกลางสภาวะสังคมและการเมืองในประเทศที่ ไม่มีการปกครองด้วยความเป็นธรรมประชาชนเหล่านี้มิใช่หรือที่ถูก “ผู้มีอำนาจ” กดขี่กดหัวจนมิอาจ“ลืมตาอ้าปาก” และเห็น “แสงสว่าง” แห่งความปกติสุขพวกเขาต้องการที่จะ “เปลี่ยนแปลง” ประเทศนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่มีความ“ถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” ไม่ใช่เป็นเช่น “รอยยิ้ม” อันไม่จริงใจของผู้มีอำนาจประเทศนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วย “กลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง” แต่ต้องเป็นการปกครองโดย “มหาประชาชน” ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสิ่งมีค่าให้พวกเขา “ดำรงชีพ” สืบอยู่“คุณสุเทพ” ไม่จำเป็นต้องมา จุดธูปเทียนกราบไหว้ คนเสื้อแดงให้เสียเวลา...เพียงแค่เอ่ยปากไหว้วานบอกไปถึง “ผู้มีอำนาจ” ...เมื่อใดจะหยุดทำร้ายประเทศชาติเสียที!โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ” เหล่านั้น...ต้องมา “ก้มกราบขอโทษ”ต่อมหาประชาชน ซึ่งได้ทำความชั่วความเลวไว้มากเขาทำผิดต่อแผ่นดินที่ยืนอยู่...และทำผิดต่อประชาชนซึ่งเป็น“ผู้ใต้ปกครอง” อย่างมิน่าให้อภัยแต่ในฐานะ “คนไทย” คนทำผิดต้องให้โอกาส...กราบขอโทษงามๆแล้วประชาชนทั้งหลายจะให้อภัย!!

๑๐/๒๐/๒๕๕๒

เนื้อเพลงพารานอยด์

คนรวยบรรลัยเมืองไทยมีแยะ คนดีตะโกนเลยโดนเป็นแพะ
มีคอมพ์ตัวเดียวมันเที่ยวไปแป๊ะ มีคิวยังแซงโดนแทงดีแมะ
ซะดีแมะ ซะทีแมะ ซะเลยแมะ ซะมอแระ ซะมอแระ

ดูฟรีทีวีมีคนโดนแจ๊ะ ครองบอลดีดีอองรีมาแซะ
ดนตรีมันแนวมันแกวเลยแมะ เดินมาชิวๆรับนิ้วกลางแมะ
ซะดีแมะ

เจอะแล้วนอย ต้องเจอะทุกซอยแหละ
เจอะแล้วนอย เจอะแล้วนอย
เจอะแล้วนอย เจอะแล้วง่อยแตก
เจอะแล้วนอย เจอะแล้วนอยแหก

คนรวย คนรวยบรรลัย
คนรวยบรรลัยเมืองไทยมีแยะ
ซะเลยแมะ ซะทีแมะ ซะทีแมะ ซะเลยแมะ

เจอะแล้วนอย ต้องเจอะทุกซอยแหละ
เจอะแล้วนอย เจอะแล้วนอย
เจอะแล้วนอย เจอะแล้วง่อยแตก
เจอะแล้วนอย เจอะแล้วนอยแหก

๑๐/๐๒/๒๕๕๒

ประณามรัฐตำรวจใช้อาวุธสงครามLRADกับม็อบไทรอัมพ์

นี่ไง...ตัวอย่างอาวุธ sonic ที่รัฐบาลเริ่มเอาออกมาใช้แล้ว!

เหยื่อหนูทดลองอาวุธสงครามบรรลัยหู-ม็อบแรงงานโรงงานชั้นในไทรอัมพ์เป็นหนูทดลองรายแรกของรัฐตำรวจที่ถูกปราบด้วยอาวุธสงครามบรรลัยหู ก่อนหน้านี้รัฐบาลเผยว่าจะนำมาใช้สลายม็อบเสื้อแดงด้วย หากจำเป็นต้องควบคุมฝูงชน





นักวิชาการ นักกิจกรรมสังคม นักกิจกรรมแรงงาน และประชาชนได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งเพื่อประณามการออกหมายจับแกนนำสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะมีการแถลงเข่าวในวันศุกร์ที่ 4 ก.ย. เวลาเที่ยงตรง ที่ ห้องประชุมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ ตึกสิงห์ดำ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

ในวันเดียวกันที่ สร.ไทรอัมพ์ฯ จะจัด เสวนา "แรงงานเรียกร้องอภิสิทธิ์หยุดทดลองอาวุธสงคราม LRAD" ซึ่ง มี ศาตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตกุล และตัวแทนจากสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ (ส.พ.ท.) เป็นวิทยากร ดำเนินรายการโดย ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์



LRAD Weapon long range acoustic device-คลื่นเสียงมหาบรรลัยหู เป็นเครื่องส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่มีความดังไปยังที่ที่ศัตรูที่ประจำอยู่ในระยะไกล อำนาจขนาดทำให้แก้วหูศัตรูแตก เป็นหูหนวกไปในทันที ล่าสุดสามารถพัฒนาให้สามารถกระแทกหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้(ที่มา:อาวุธสงครามสุดแสบของอเมริกา)

แถลงการณ์ประณามการออกหมายจับแกนนำสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

พวกเรา องค์กร และบุคคลข้างล่าง ขอประณามการออกหมายจับ นายสุนทร บุญยอด น.ส.บุญรอด สายวงศ์ (เลขาธิการสหภาพแรงงานไทรอัมพ์) และ น.ส.จิตรา คชเดช (ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์) โดยสถานีตำรวจนครบาลเขตดุสิต ต่อการใช้สิทธิการชุมนุมอย่างสันติ ในวันพฤหัสที่ 27 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการชุมนุมอย่างสันติ โดยคนงานผู้หญิง ที่รวมถึงคนงานที่ท้อง และพิการ จำนวน 1,000 คน ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง

โดยทาง พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นว่า การชุมนุมอย่างสันตินี้ เข้าข่าย การมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 215และมาตรา 216 ที่มีโทษหนักถึงจำคุกเป็นระยะเวลา 3 ปี

ทางพวกเรามีความเห็น ดังนี้:


1.การออกหมายจับครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ (excessive uses of force) เนื่องจากสิทธิการชุมนุมอย่างสันติ ที่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กระทำเพื่อเรียกร้องให้มีการออกมารับหนังสือโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครอง ภายใต้รัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกภาคี

2.การชุมนุมที่เกิดขึ้น เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมที่มีความชอบธรรม เนื่องจากเป็นการชุมนุมของคนงานที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง จำนวน 1,959 คน และเป็นการชุมนุมที่สืบเนื่องมาจาก การยื่นหนังสือต่อรองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 เพื่อติดตามว่า รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้าง

3.การให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในหนังสือพิมพ์ไอเอ็นเอ็น ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด เนื่องจากการชุมนุมของสหภาพแรงงานฯ ทั้งหน้าทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา นั้น ได้เป็นไปตามกรอบสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้รับรองไว้ และไม่ได้มีการปิดถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล ตามที่พล.ต.ท.วรพงษ์ได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่การที่ถนนหน้ารัฐสภาปิดเกิดขึ้น เนื่องจากการไร้ความรับผิดชอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการอำนวยความสะดวก ทำให้มีรถวิ่งสวนกับผู้ชุมนุมมากมาย และไม่ได้มีการปิดรัฐสภาแต่อย่างใด โดยรถยนต์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็สามารถเข้าออกได้อย่างไม่มีปัญหา

4.การตอบโต้การชุมนุมครั้งนี้ โดย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ในการนำเครื่องขยายเสียงระดับไกล (LRAD: Long Range Acoustic Device) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้โดยทหารสหรัฐในสงครามอิรัก มาเปิดช่วงที่คนงานหญิงได้ชุมนุมกันอย่างสันติ และในช่วงที่กำลังประสานงานกับ นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน เข้ามารับหนังสือ ถือเป็นการกระทำที่ประสงค์จะให้มีการสลายการชุมนุม อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรง เนื่องจากได้สร้างความเจ็บปวดในระบบหูให้กับคนงานจำนวนมาก โดยเฉพาะคนงานที่มีอายุมาก ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศได้ให้ความเห็นว่า เครื่องขยายเสียงนี้สามารถทำลายระบบหู จนทำให้ไม่ได้ยินไปตลอดชีวิตได้ หากมีการเปิดในระยะใกล้กับผู้ชุมนุม ซึ่งในกรณีนี้มีการเปิดใกล้กับผู้ชุมนุมมาก (ห่างจากผู้ชุมนุมในระยะ 1-2 เมตรเท่านั้น) อีกทั้ง การดำเนินการดังกล่าวไม่มีเหตุใดๆที่จะนำเครื่องขยายเสียงมาดำเนินการแต่อย่างใดมาใช้ เนื่องจากดังที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า ผู้ชุมนุมได้ชุมนุมกันอย่างสันติโดยชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีอำนาจใดๆดำเนินการเพื่อให้มีการสลายการชุมนุม

สืบเนื่องจากความเห็นของพวกเรา เราจึงมีข้อเรียกร้อง ดังนี้:

1.เราขอเรียกร้องให้ถอนการออกหมายจับที่ไม่เป็นธรรม กับผู้นำสหภาพแรงงาน โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไม่มีการจับกุมตามหมายจับ และดำเนินเพื่อร้องขอกับศาลให้มีการถอนหมายจับโดยทันที

2.เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสหภาพ ที่ได้ยื่นให้รองเลขาธิการฝ่ายการเมืองโดยเร็วที่สุด

3.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาล และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน นำโดย พล.ต..ต วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยทางตำรวจได้เปิดเครื่องขยายเสียงที่มีเสียงดังมาก ได้รับผลกระทบต่อคนงานผู้หญิง คนงานพิการ และอายุมากที่ได้นั่งฟังปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ตัวแทนของสหภาพกำลังเข้าไปยื่นหนังสือกับนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ประจำรัฐสภา และการขอออกหมายจับผู้นำสหภาพ โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่า เป็นการละเมิดสิทธิทางพลเมืองและทางการเมือง รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม

๖/๑๙/๒๕๕๒

ความหน้าตัวเมียของพวกจิตวิทยาหมู่



เป็นที่รู้กันอยู่ว่าพวกจิตวิทยาหมู่นั้นเป็นพวกหน้าตัวเมีย...นี้เป็นอะไรที่เรารู้กันอยู่แล้ว

เพราะหากเค้าไม่ใช่พวกหน้าตัวเมีย...เค้าก็คงไม่เล่นบทสายลับ...กับชมรมบ้าลัทธิเล็กๆของพวกมัน และสำหรับไอ้พวกที่มีรสนิยมที่มองตัวเองว่าเป็นสมาชิกกลุ่มพลเรื่อนที่ทำโทษอาชญากรแบบศาลเตี้ย ยิ่งมีความเป็นหน้าตัวเมียเข้าไปใหญ่ หากพวกมันเชื่อว่าเหยื่อนั้นมีความผิด ไม่มากก็น้อย แต่ทำไมไม่กล้ากล่าวหาหรือฟ้องร้องเหยื่อล่ะ? และยิ่งหน้าตัวเมียเข้าไปอีกก็คือพวกที่จะพูดว่า “อ๋อ...อยากได้หลักฐานใช่มั้ย...ไม่ต้องมีก็ได้นิ” มันเป็นความเข้าใจผิดของไอ้พวกโรคจิตที่เพ้อฝันที่จะได้เป็นวีระบุรุษเพื่อที่จะได้ร่วมลงมือคุกคามและเล่นงานคนอื่น ... ความสะใจที่ได้รับจากบทบาทเช่นนั้นทำให้มันรู้สึกเติมเต็ม และมีอำนาจ ที่มันไม่สามารถหาได้ในสังคมชั้นต่ำที่มันอยู่

เฮ้ย...​ไอ้พวกโรคจิต...พวกมึงรู้มั้ยว่ามีคนที่รู้ในสิ่งที่พวกมึงทำ?...ก็พวกมึงไง

ไอ้คนที่ทำเป็นกล่าวหาคนอื่น หรือสั่งให้พวกมึงคุกคามเหยื่อ มันก็ไม่ได้มีบทบาทหรือความรับผิดชอบอะไรนักหนานิ แล้วสิ่งที่พวกมึงทำกัน “คนละนิด คนละหน่อย” ที่พวกมึงเล่นกันอยู่นั้นมันจะทำให้อะไรแตกต่างจากเดิม...จริงเหรอว่ะ?... เพราะสุดท้ายมึงก็ต้องลงเอยด้วยความพยาบาทของพวกมึงเองนั่นแหละ... มันไม่ใช่อะไรที่เหยื่ออย่างกูต้องรับรู้ ... การหาแพะรับบาปที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดและความอ่อนแอมันก็แค่บรรเทาความรู้สึกพวกมึงแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ สุดท้ายพวกมึงก็ตัดสินกันเอาเองแล้วกันในตัวพวกมึงและการกระทำของพวกมึง

แล้วเมื่อพวกมึงเริ่มกลับมาเล่นงานกูอีก...แล้วก็ทำตอแหล พวกมึงนั่นแหละที่อ่อนแอลง...ส่วนกูแกร่งขึ้น แกร่งขึ้นทั้งขึ้นทั้งร่องน่ันแหละเพราะกูมีจิตสำนึกที่จะสามารถจัดการกับปัญหาและความท้าทายที่อยู่เบื่องหน้าได้...กูสามารถทำมันได้อยู่แล้วไม่ว่าพวกมึงจะเล่นงานกูหรือไม่...คนที่แกร่งอยู่แล้วจะยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก...ส่วนพวกที่อ่อนแอ (พวกมึงไง...อย่างน้อย จนถึงตอนนี้) ก็จะยิ่งอ่อนแอลง

อะไรที่ทำให้พวกมึงคิดว่าจะสามารถหลบซ่อนความพยาบาทที่พวกมึงทำกับเพื่อนมนุษย์ได้ว่ะ แทนที่จะใช้อิธิพลของสมองแล้วคิดด้วยตัวของพวกมึงเอง? กูเข้าใจนะ...ว่าบางทีเราอาจอยากเลี่ยงด้วยความโงาเขลาที่จะเผชิญความท้าทายที่อาจดูเหมือนเป็นภัย โดยเฉพาะที่พวกมึงแสร้งมาทำเป็นรู้จักแล้วค่อย black mail เค้าที่หลังเนี้ยก็ถือว่าหน้าตัวเมียสุดขีด...ทั้งๆที่คนๆนั้นเค้าเปิดรับความเป็นมึงและหยิบยื่นมิตรภาพและความรักให้กับมึง...พอกูนึกถึงทีไร...จะรู้สึกเจ็บปวดทุกทีเมือกลับไปจินตนาการความเหี้ยมของพวกมึง ถามหน่อย...มึงต้องโทรหาหัวหน้าของมึงมั้ยหากมึงต้องเลือกว่าจะกินอะไร? ต้องขออนุญาตเหยี้ยวทุกครั้งหรือเปล่า? สิ่งที่กูจะบอกคือพวกมึงขีดเส้นแบ่งตรงไหนว่ะระหว่างเรื่องที่ต้องคิดด้วยตัวมึงเองกับให้คนอื่นคิดแทนพวกมึง?

หากคิดกลับไปในอดีตนะ...ไอ้พวกแบบมึงกับสิ่งที่มึงทำนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับพวกนาซี...พวกมึงให้กูได้แค่นี้งี้นเหรอ?...พวกมึงอยากให้สังคมจดจำพวกมึงแบบนี้จริงอ่ะ?...มึงคิดว่าเหยื่ออย่างกูจะเป็นภาระของความแค้นของพวกมึงได้นานสักแค่ไหนกันว่ะ?...เมื่อไหร่พวกลิ่วล้ออย่างมึงจะเลิกตอแหลแล้วเริ่มที่จะคิดได้ด้วยตัวเองซะทีว่ะ?


ตำรวจและสายลับ ... ผู้ที่ก่ออาชญากรรมได้แบบไม่มีที่ติ

ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องทราบเกี่ยวกับอาวุธที่ตำรวจใช้ในปัจจุบัน อาวุธที่นำมาใช้ในทางที่ผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ... ผู้ที่มีหน้าที่ ปกป้อง ประชาชน ... ไม่ใช่ทรมาน หรือใช้เพื่อฆ่าประชาชนทางอ้อม เพียงเพราะเค้าไม่ยินยอมที่จะทำตามในสิ่งที่ถูกสั่ง และแน่นอนการถูกใช้ในทางที่ผิดเช่นนี้ คงสืบเนื่องมาจากการจัดจ่ายอาวุธ hi-tech ภายในหน่วยงานสืบสวนตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นมา


สิ่งเหล่านี้จะต้องหยุด


เพราะเราไม่สามารถให้ความไว้วางใจกับพวกตำรวจชั้นประทวนหรือแม้กระทั้งระดับหัวหน้า ในการนำอาวุธมาใช้ในสถานะการที่ควร ไม่ใช่ใช้เพื่อเป็นการแก้แค้นส่วนตัว หรือ รังแกประชาชนโดยใช้กลยุทธหมาหมู่ที่พวกหน้าตัวเมียเค้าทำกัน แล้วทำไมพวกเค้าต้องทำเช่นนั้น...คุณอาจถาม? เพราะว่า “สงครามจิตวิทยา” ที่พวกเค้าใช้นั้นถือว่าเป็น “อาชญากรรมที่ไม่มีที่ติ” หรืออาจเรียกว่า Perfect Crime เพราะว่ามันส่งผลให้เกิดความสูญเสียในระดับสูงสุดกับเหยื่อ และมีความเสี่ยงที่น้อยมากในการถูกเปิดเผย


ในฐานะที่ผมเป็นเหยื่อของการคุกคามเช่นนี้มาเกือบปี แต่กลับแสดงอาการไม่รู้ไม่ชี้

เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเหมือนไม่เป็นอะไร นั้นอาจทำให้พวกหมาหมู่เหล่านั้นโกรธจัดก็เป็นได้ ในเมื่อบุคลากรที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมเหล่านั้นไม่ใช่น้อยๆเลย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนบุคลากรที่ใช้ในการเฝ้าแกล้งเวลาอยู่บ้าน หรืออยู่ office ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่า หรือค่าใช้จ่ายในการติดตามบนท้องถนน ซึ่งน่าจะต้องมีรถอย่างต่ำก็ 5 ถึง 10 คันบนทางด่วน แล้วยังจะต้องมีฝูงมอเตอร์ไซค์อีกเพียบหากอยู่ในซอย หน้าที่ของพวก “ลิ้วล้อ” พวกนั้นจึงจำเป็นต้องมีความอดทนสูง และต้องมีความพร้อมตลอด 24 ชม. ... เพราะอยู่ๆผมอาจขับรถ fitness หรือแม้กระทั้งขับไปตลาดโรงเกลือเล่นๆเมื่อไหร่ก็ได้ ... เหมือนเราเลี้ยงหมาไว้ไง ... มันจะเบื่อและจ๋อยหากมันต้องอยู้เฝ้าบ้านตลอดเวลา ... ผมเลยต้องพามันไปเดินบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

๖/๑๕/๒๕๕๒

ปืน Sonic ... จะทำให้คุณเยี้ยวราด!

นี้เป็นปืนที่ไม่เหมือนปืนที่คุณต้องโหลดกระสุน

หากคุณต้องรำคาญหรือถูกยั่วโดยใครบางคน ...

แล้วคุณมีปืน (จริงๆ) ในมือ ...

คุณคงจะใช้มัน ... แล้วส่งพวกนั้นลงนรกแหงๆ!


แต่แน่นอน ... คุณคงรู้สึกเสียใจภายหลัง เพราะคุณคงอยากเพียงแค่ ‘สั่งสอน’ พวกเขาเท่านั้น

... คุณคงนึกอยากให้สิ่งที่อยู่ในมือคุณเป็นเพียงปืนเด็กเล่น ... หรืออาวุธที่ไม่ทำให้ถึงตาย!!


มันมาแว้ว!! ... และมันชื่อ Sonic Handgun ... ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสุดเจ๋งของอนาคตที่ไม่ทำให้ถึงตาย (หากคุณแค่อยากจะสั่งสอนไอ้พวกปีนเกลียวที่เคยทำคุณฉุนขาด!) เจ้า Sonic handgun ตัวนี้ยิงคลื่น ultrasonic แบบเข้มข้นแทนที่จะเป็นหัวกระสุน .22 มม. กระสุน ultrasonic ทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ หากยิงใส่เพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ แล้วความเจ็บปวดนั้นก็จะหายไปไม่กี่นาทีถัดมา .. ซึ่งไม่ร้ายแรงอะไรมากมาย


ปืน sonic นี้ทำให้เกิด ultra sound ที่มีกำลังส่งมากว่าคลื่นเสียงปกติ...และมันสามารถทะลุกำแพงได้ซะด้วย! เสียงที่ถูกผลิตขึ้นมานั้นเรียกว่า super high pitch ซึ่งจะคล้ายกับเสียงเวลาคุณเอาเล็บไปข่วนกับกระดานในห้องเรียน และมันมี output ประมาณ 130 dB ซึ่งเท่ากับความดังเวลาคุณไปดู concert เสก Loso ... เมื่อใช้กับเพื่อนมนุษย์ ... เพื่อนมนุษย์จะรู้สึกมึนๆ ... แบบจะอวก ... หลังจากถูกคุณส่อง (ประมานสัก 60 วิ) และเพื่อนมนุษย์บางคนอาจรู้สึกแสบแก้วหู



เกี่ยวกับอาวุธเสียง

Infrasound คือคลื่นเสียงความถี่ต่ำที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน รอบๆตัวเรานั้นมี infrasound อยู่ทุกที่โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงลม คลื่น ภูเขาไฟระเบิด และเสียงที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ เช่นการก่อสร้าง ถนนที่รถติด เครื่องปรับอากาศ และอื่นๆอีกมากมาย คลื่นความถี่ต่ำเหล่านี้ใช้โดยทหารเรื่อเพื่อใช้ในการสื่อสารระยะไกล และนกก็ใช้ในการสื่อสารเพื่อหารูปแบบในการอพยบ


คลื่นความถี่ต่ำที่สูงขึ้น (ประมาณ 7 - 20hz) สามารถมีผลโดยตรงต่อมนุษย์และระบบประสาท ส่งผลให้เกิดความสับสน มึนงง ตกใจ ลำไส้ปั่นป่วน กล้ามเนื่อกระตุก อาการคลื่นเหียน อาเจียน จนถึงสลบ (หากใช้ความถี่ 7-8hz ซึ่งเป็นความถี่เดียวกับคลื่น alpha ของสมอง)


คลื่นความถี่ & ผลกระทบต่อร่างกาย


7 Hz: คลื่นความถระดับนี่อันตรายที่สุดเนื่องจากเป็นคลื่นระดับเดียวกับคลื่นสมอง (alpha brain wave) มันเป็นระดับความถี่ที่ถูกยืนยันว่ามีผลกระทบต่ออวัยวะมนุษย์และจะส่งผลให้เกิดการอวัยวะฉีก หากร่างกายอยู่ใต้ความถี่ดังกล่าวนานอาจทำให้เสียชีวิตได้


1 - 10Hz: กิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้องใช้สมองนั้นจะถูกยับยั้ง ถูกบล็อก และทำลาย เพราะคลื่นนั้นจะมีผลโดยตรงต่อระบบประสาทร่างกาย เมื่อระบบประสาทถูกบล็อกก็จะส่งผลต่อระบบอื่นๆตามมา


43 - 73 Hz: มีผลให้ขาดสติ การทำงานของสมอง (คะแนน IQ ลดลง 77% จากปกติ) การหายใจไม่ปกติ กล้ามเนื้อทำงานสอดคล้องกัน ขาดความสมดุล มีปัญหาในการสื่อสาร หรืออาจสลบ


50 - 100 Hz: จะรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ผนังหน้าอกเกิดอาการสั่น มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย ความถี่ระดับ 50 - 100 Hz นี้ทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนแบบอ่อนๆ และจะรู้สึกง่วนงุนในระดับ 150 - 155 dB (0.63 ถึง 1.1kPA) ที่ระดับความถี่นี้จะรู้สึกถึงการปั่นป่วนในอวัยวะภายใน มีอาการไอ และไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก


ที่ระดับ 100 Hz ระดับความถี่นี้ทำให้เกิด อาการคลื่นเหียนแบบอ่อนๆ ผิวหนังจะรู้สึกได้ในความถี่ดังกล่าว อาจเกิดอาการเคืองผิว และกล้ามเนื้อกระตุก เกิดอาการวิงเวียนศรีษะ เจ็บคอ และระบบขับถ่ายผิดปกติ





๕/๒๐/๒๕๕๒

การให้อภัย...คือการให้ที่ยิ่งใหญ่

การที่คนหนึ่งคนต้องเผชิญกับภัยคุกคามโดยอาวุธอิเล็คทรอแมคเนติกหรือ infrasound อย่างต่อเนื้องโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุดนั้น ไม่ง่ายเลย ความหงุดหงิดที่ต้อง "รู้สึก" หรือ "สำผัส" กระแสคลื่นเสียงบนร่างกายนั้นทำให้เราไม่มีสมาธิในการทำสิ่งใดๆระหว่างวัน


มันอาจจะแย่...ใช่..แต่พอผมมานั่งคิดทบทวนดูดีๆ ...บางที...การให้อภัย (กับพวกเค้า) ก็ถือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ มันคือการให้อภัยโดยไม่มีเงื่อนไข

ผมจึงเริ่ม...เรียนรู้ที่จะให้อภัย ...เริ่มเรียนรู้ที่จะคิดบวก หนึ่งหนทางในการดับทุกข์ที่ศาสนาพุทธสอนไว้ก็คืออย่าเลือกที่จะใช้ไฟเพื่อดับไฟ และยิ่งไปกว่านั้นหากสิ่งที่ผมเจอนั้นถูกมองว่าเป็นทุกข์ มันจึงเป็นเช่นนั้นเพราะเราเลือกที่จะมองมันเช่นนั้น ...หากเราเลือกที่จะมองมันเสียใหม่...เราก็จะไม่ทุกข์ (ไม่รู้สึก...ก็ไม่ทุกข์)


ดังนั้นหากผมเริ่มยิ้มรับให้กับการกระทำของพวกจิตวิทยาหมู่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลการจองเวรจองกรรมอันใดก็ตาม...สุดท้ายอภัยที่เรามอบให้เขาจะกลายเป็นอโหสิกรรมต่อเรา แล้วต่างคนก็ต่างไปหาวิธีชำระปาปกันไป


....ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย วิธีการนี้ดูเหมือนเป็นแนวทางของผู้ชาญฉลาดที่สุด ที่รู้จักป้องกันภัยให้กับตนเองทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ด้วยการดับต้นเหตุของตัวปัญหาที่มาจาก "กิเลส" ในใจเรานั่นเอง ตอกย้ำความจริงแท้ของชีวิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จงระงับการจองเวรด้วยการไม่จองเวร" เสียเถิด เพราะ " โทษใดเสมอด้วย โทสะ เป็นไม่มี " คอยแต่จะก่อทุกข์ก่อโทษให้ตนเองไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ระงับความโกรธเสียได้จึงได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ทำได้ยาก แม้มนุษย์และเทวดาก็สรรเสริญ

.....การรบชนะกับบุคคลอื่นว่าเก่งแล้ว แต่บุคคลผู้รบชนะใจตนเอง ไม่ให้กระทำความชั่วนั้นประเสริฐยิ่งกว่า เพราะเป็นชัยชนะที่ไม่มีวันหวนกลับมาแพ้อีก…ตลอดไป

แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้…" อภัย ให้หายแค้น " ได้อย่างไร ?

๕/๑๕/๒๕๕๒

จิตวิทยาเกม คือ วัชพืชตัวร้าย

ในป่าเขตร้อนเป็นที่ที่คุณอาจได้เจอวัชพืชชนิดนึงที่เลื้อยและเติบโตบนต้นไม้ขนาดใหญ่ มันเริ่มจากเมล็ดพันธ์เล็กๆที่ถูกพัดหรือนำพามาโดยนก จนสามารถเติบโตและกัดกล่อนต้นไม้หลายต้น วัชพืชชนิดนี้ดูดทรัพย์อาหารจากต้นไม้ใหญ่เพื่อการเจริญเติบโตของมัน มันโตขึ้นอย่างช้าๆตั่งแต่ในรากและค่อยๆเลื้อยไปตามต้นในที่สุด ใบของมันจะค่อยๆปกคลุมเพื่อแย่งแสงอาทิตย์และรากของมันก็ทำหน้าที่ดูดซึมนำ้และสารอาหารจากเจ้าบ้าน เมื่อถูกโดดเดี่ยวโดยไร้ซึ่งแสงและสารอาหาร ต้นไม้ต้นนั้นก็จะตาย เน่า เหลือเพียงซากของโพรงไม้จากขั้นตอนที่ช้าแต่ชัวร์...วัชพืชมันได้ดูดชีวิตไปจากต้นไม่ที่เคยมีชิวิตชีวาต้นหนึ่ง

ในลักษณะที่คล้ายกันกับพวก gang stalking ที่ใช้จิตวิทยาหมู่ในการครอบงำ ทำให้โดดเดี่ยว และสุดท้ายก็ทำลายเหยื่อ เปรียบเสมือนการเติบโตของวัชพืช กิจวัดของพวก gang stalking นั้นจะค่อยๆพัฒนาอย่างช้าๆในช่วงระยะเวลาหลายเดือนหรือเป็นปีโดยมีเป้าหมายในการห้อมล้อมเป้าหมาย ตัดให้เหยื่อไม่เหลือเพื่อน ครอบครัว และความช่วยเหลือทุกรูปแบบ สุดท้ายเหยื่อจะถูกเฝ้ามองตลอด 24 ช.ม. และหาวิธีต่างๆเพื่อชักนำเพื่อหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง การโจมตีด้วยจิตวิทยาไปนานๆนั้นมักทำให้ความรู้สึกเหยื่อนั้นท่วมท้นไปด้วยความอึ่ง จนเหยื่อมีสภาพจิตที่ไม่สมดุล และ มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก ยิ่งไปกว่านั้นการถูกโดดเดี่ยวนั้นจะทำให้ไม่สามารถพึ่งใครได้เลย คล้ายกับต้นไม้ที่ถูกวัชพืชห้อมล้อม การตายกำลังจะมาเยือน จิตใจและอารมณ์จะตอบสนองในหลายรูปแบบจากการถูกโจมตีโดยจิตวิทยา ซ้ำแล้ว ซำ้เล่า ชีวิตจะกลายเป็นการถูกคุมขังและไร้คนที่เป็นที่พึ่ง มันคือชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิต

๕/๑๓/๒๕๕๒

จะเป็นอย่างไรหากมีอาวุธที่ทำให้เกิดปฏิกริยาต่อร่างกายคุณ และคุณไม่สามารถมองเห็นและได้ยินเสียงมัน แต่สามารถฆ่าคุณได้ในระยะร้อยๆเมตรที่ไกลออกไป?

ลองนึกภาพตามผมดู...คุณกำลังเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน...และแล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้น


อยู่ดีๆคุณรู้สึกเหมือนกำลังจมลงด้วยน้ำหนักตัวของคุณเอง..คุณพยายามดิ้นรนจากมัน แต่ทุกๆทางที่คุณเดินนั้นถูกบล็อก ...เหมือนมีกำแพงที่คุณมองไม่เห็น


ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น... คุณได้ยินเสียงรถตำรวจ ...และเมื่อตำรวจมาถึง คุณเห็นพวกเค้าถือสิ่งที่ดูคล้ายลำโพงอันใหญ่


และทันใดนั้นเอง คุณรู้สึกเหมือนว่าจะหายใจไม่ออก...หัวคุณเหมือนถูกกระหนำ่ด้วยอะไรสักอย่างทำให้คุณเดินโซเซแล้วคุณก็คุกเข่าลง


คุณกำลังตั่งสติจากการมึนที่เพิ่งรู้สึก...คุณพยายามที่จะลุกขึ้น แต่กลับเหมือนถูกดูดให้จมบนพื้น...คุณวิตกกังวลกับสื่งที่เกิดขึ้น แต่คุณก็ไม่สามารถขยับตัวได้...แล้วคุณก็ล้มลง!


คุณนอนจมอยู่ตรงนั้น และอาเจียนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ...คุณเห็นผู้คนรอบข้างคุณเริ่มร่วงลงพื้นไปทีละคนเหมือนแมลง


จนในที่สุด ความเจ็บปวดทำให้คุณมองเห็นกลุ่มฝูงชนบิดเบี้ยวไปมาแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินเข้ามาจับคุณ


สิ่งที่ตามมาจากหลังจากประสบการณ์ที่แสนสาหัสนั้นคือทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ


คุณหายจากการเจ็บปวดและอาเจียน ...แต่ก็ยังคงมีคำถามที่เดียวที่ค้างคาในใจ "เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณก่อนหน้านี้?"


คุณไม่ได้ถูกยิงโดยลูกปืนยาง.. คุณไม่เห็นแกสน้ำตาบนถนน... ไม่มีสัญญานอันตรายอะไรเลย แล้วทำไมผู้คนรอบข้างกลับล้มลงเสมือนถูกโรคร้ายอะไรบางอย่างโจมตีล่ะ?


คำตอบนั้นง่ายๆ ...คุณและคนรอบข้างคุณได้ตกเป็นเหยื่อของอาวุธอันตรายชิ้นใหม่ - มันคือ infrasound

๕/๐๔/๒๕๕๒

Enemy of the State

อยู่มาเช้าวันหนึงผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากเตียงแล้วพบว่าผมได้กลายเป็น "ศัตรูของรัฐบาล" หรือที่เรียกว่า enemy of the state (คล้ายในหนังของ Will Smith เลย) ชิวิตที่ถูกทำให้สับสนและยุ่งเหยิงในแบบที่พูดไม่ออกและบอกไม่ถูก ซึ่งผม(...และคงอีกหลายคน)นั้นไม่ได้บังเอิญเกิดมาเป็นพระเอก Hollywood เหมือน Will Smith ที่จะสามารถ "สวนเกล็ด" และโค้นอำนาจมืดในมือของรัฐบาลได้ โอเค...คุณอาจถามว่าที่ผมที่ ได้รับบท enemy of the state มันต้องมีที่มาที่ไปสิ...ก็จริงอยู่ บางทีผมเองอาจไม่ใช้คนดีสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ใช่คนเลวแน่นอน หากผมได้ไปขัดขาใคร หรือทำอะไรผิดไป(ในสายตาคนบางกลุ่ม) ทำไมผมถึงไม่ได้สิทธิในการต่อสู้ตามขั้นตอนที่ยุติธรรมล่ะ กฏหมายจะมีไว้ทำไม ในเมื่อระบบศาลเตี้ยนั้นกำลังครอบงำประเทศ ครอบงำระบบการปกครอง รวมถึงสิธิมนุษย์ชนของคนไทย ผมผิด...เมื่อศาลเตี้ยบอกว่าผมผิด และหากผมไม่ผิด...ศาลเตี้ยน่ะเหรอที่จะเป็นผู้ชดใช้?

เหยื่อหลายคนจะถูกทำให้โดดเดี่ยวและถูกทำให้ตกงานและทำให้ไร้ซึ่งทรัพยากรในการดำรงชีวิตรวมทั้งถูกจำกัดคนรอบข้างที่คอยช่วยเหลือ โดยส่วนใหญ่มักลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย บ้างก็ถูกบำบัด(เพราะถูกมองว่าบ้า) บ้างก็ถูกจับกุม อุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุรูปแบบอื่นๆ ถึงขั้นฆาตรกรรมอำพรางก็มี

การถูกคุกคามในลักษณะนี้เปรียบเสมือน "สงครามจิตวิทยา" ที่เหยื่อทั้งหลายนั้นไม่ได้เตรียมรับมือมาก่อน แต่ก็ต้องหาทางรับมือหากคิดที่จะรอด การเอาตัวรอดนั้นกลับกลายเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ "สงครามจิตวิทยา" เพราะชีวิตของเหยื่อจะถูก scan โดยละเอียด ทุกความเคลื่อนไหว ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทุกๆคำพูด คุณจะคนกลุ่มนี้ล้วงความลับในทุกๆด้านของคุณ กิจกรรมส่วนตัว พรฤติกรรม เนื้อหาการประชุมที่บริษัท ธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจครอบครัว ... ทุกๆอย่าง จะถูกเก็บเข้าฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้กับคุณ มันก็คือ information warfare นั้นแหละ ... รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ อย่าให้เค้ารู้อะไรเลยเกี่ยวกับเขา หลังจากนั้นคลังข้อมูลของคุณจะถูกประเมิณเพื่อออกแบบกลยุทธ ที่ใช้ "ดักทาง ลักไก่ และ ตีกิน" คุณ โดยมีเป้าหมายในการทำให้คุณตกงาน ทำให้ขาดรายได้ พวกเค้าจะทำทุกวิธีในการทำให้คุณถูกเนรเทศออกจากสังคมที่คุณอยู่ ออกจากครอบครัวและเพื่องฝูง และพวกเค้ามีความเชี่ยวชาญมากซะด้วย การถูก "ดักทาง ลักไก่ และ ตีกิน" วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า นั้นนอกจากจะทำให้คุณประสาทเสียแล้ว ยังจะทำให้คุณรู้สึกว่าโลกทั้งใบไม่เข้าข้างคุณเอาซะเลย หนำซ้ำมันยังร่วมกันทำเป็นขบวนการที่จะคอยร่วมด้วยช่วยกันพาคุณ "นอยด์" สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ไกลเกินความเป็นจริงแน่นอน...หากวันนึงคุณต้องตกเป็นเหยื่อ

ความอยู่รอดของคุณจะกลายเป็นเกมของความสามารถ เล่ห์เหลี่ยม ความชำนาญ และต้องมีโชคด้วย (ดังนั้นอย่าละเลยการทำบุญหรือเข้าวัดล่ะ) พยายามดำเนินชีวิตและหน้าที่การงานให้เป็นปกติที่สุด (เท่าที่จะทำได้) พยายามควบคุมอารมณ์ในที่สาธารณะ (หากจะนอยด์แนะนำให้นอยด์ที่บ้าน) เพราะสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่พวกมันอยากเห็น ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในที่สาธารณะจงนิ่งไว้ และพยายามอย่าทำการสื่อสารกับคนเหล่านี้ พวกมันกระหายที่จะเห็นคุณอ้อนวอนขอความเห็นใจ (ซึ่งจะทำให้มันยิ่งรู้สึกหึกเหิมมากขึ้น) อย่าไปคิดว่าพวกมันจะเห็นใจคุณ เพราะสิ่งที่มันทำอยู่นั้นเป็นสิ่งเติมเต็มที่ทำให้มันรู้สึกถึงอำนาจ (ที่หาไม่ได้ในสังคมของมัน) หากคุณเริ่มขัดขืนหรือต่อสู้กับการโจมตีโดยอาวุธอิเล็คโทรแมคเนติก มันจะยิ่งเล่นคุณแรงขึ้น นั้นถือว่าปกติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว พวกมันก็คนเหมือนกัน เดี้ยวมันก็เหนื่อยไปเอง การสร้างเครือข่ายคนรู้จักใหม่ทำให้ยากขึ้นสำหรับพวกมันในการเนรเทศคุณออกจากสังคม หากคุณคิดว่าคุณกำลังตกเป็นเหยื่อ หรือเคยตกเป็นเหยื่อมาก่อน ที่นี่...คือที่ๆคุณสามารถเป็นกระบอกเสียง เพื่อบอกให้กับสังคมไทยเกี่ยวกับองค์กรลับเหล่านี้ที่ทำตัวเป็นศาลเตี้ย แล้วเล่นบท "หมาหมู่" ในการกลั่นแกล้งผู้อื่น

๕/๐๓/๒๕๕๒

Revenge is a dish best serve cold ...




นักการเมืองหรือผู้ใหญ่บางคนในประทศได้ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวกลุ่มคนบางกลุ่ม ... โดยบอกกับพวกเค้าว่ามัน "OK นะ" ที่จะทำผิดหลักมนุษย์ชนของคนบางคน มันอาจเริ่มต้นจากระบบที่มีเป้าหมายและเจตนาที่เป็นบวก ... ทว่าไม่ได้ถูกควบคุมดูแลจึงทำให้ไร้ซึ่งจรรยาบรรณ และนำมาซึ่งการโกงกินกันเอง


ปัจจุบัน...จึงกลายเป็นสองระบบที่เดินขนานกันของระบบยุติธรรม และการล้างแค้น (ในรูปแบบการให้บริการ) ที่ทำกันแบบลับๆเพื่อนำมาถ่วงให้เกิดความสมดุลย์

๔/๓๐/๒๕๕๒

Active Denial System (CNN)

นี้คือตัวอย่างอุปกรณ์ที่เรียกว่า Active Denial System ซึ่งอาจมีความหมายว่า ระบบไม่รู้ไม่ชี้ (คือหากอำพรางอาวุธแล้วนำไปใช้กับเหยื่อแล้วยิงให้เหยื่อเต้นไปเต้นมาสักสองสามทีในที่สาธารณะ ทำให้คนที่อยู่รอบๆคิดว่ามันเต้นเพราะมันบ้าได้ เพราะมันนอยด์ คุณว่าง่ายมั้ย? แล้วเหยื่อจะรู้ตัวมั้ยว่ากำลังเผชิญกับอะไรอยู่? แล้วเค้าจะบอกกับคนรอบข้างอย่างไรกับปรากฏการณ์เขาที่เจอ?)


อาชญากรตัวจริงเข้ามาที่เมืองไทยแล้ว มันคือกลุมองค์กรลับที่คอยเฝ้าติดตามเพื่อคุกคาม

ภัยเงียบกำลังแทรกซึมในสังคมไทยรวททั้งประเทศอื่นๆทั่วโลก คนกำลังถูกเฝ้าสอดแนมโดยกลุ่มองค์กรลับและถูโจมตีโดย Directed Energy Weapon (DEW) หรืออาวุธคลื่นอิเล็คโทรแมคเนติกนั้นคือการถูกคุกคามและทรมารโดยอาวุธเหล่านี้



หากอาวุธดังกล่าวนั้นเอามาใช้กับคน ผลกระทบต่อร่างกายที่มีต่อคลื่นอิเล็คโทรแมคเนติกมีดังนี้

Migraine (อาการปวดหัว)
Muscle cramps (กล้ามเนื้อตึง)
Cancer (มะเร็ง)
Heart attack (โรคหัวใจ)
Brain embolism
Partial Blindness (โรคสายตา)
Ringing in ears (ได้ยินเสียงวิ้ๆ)
Microwave burn (ร่างกายเหมือนถูกเผา)

ผลกระทบเหล่านี้มันคือการถูกคุกคามทางด้านมนุษย์ธรรม ลองนึกดูหากคุณถูกเฝ้าติดตามตลอด 24 ชม.แถมยังถูกคุกคามโดยอาวุธอิเล็คโทรแมคเนติก แถมถูกใส่ร้ายต่างๆนาๆจากการกูเรื่องเพื่อ discredit คุณทั้งที่บ้านและที่ทำงานดูสิ ครอบครัวถูกทำลาย ศักยภาพในการทำงานต่ำลง คุณอาจจะตกงาน หรือไม่ก็อาจฆ่าตัวตาย

เมื่อมีการแจ้งความเกี่ยวกับอาชญากรรมเช่นนี้กับตำรวจ ผู้แจ้งความมักถูกมองว่า "บ้า" โดยกลุ่มองค์กรลับก็ยังคงดำเนินกิจกรรมของมันต่อโดยอาจเป็นเป้าหมายเดิมหรืออาจเลือกเป้าหมายใหม่

เราทำยังไงได้บ้าง? อย่างแรกคือเรียนรู้ด้วยตัวคุณเองก่อนว่าแนวคิดของพวกจิตวิทยาหมู่นั้นคืออะไร รายละเอียดบน blog นี้เกิดจากประสบการณ์จริง รวมถึงการค้นคว้าจาก website ทั่วโลก และอย่างที่ผมเคยบอก การที่คุณได้รู้เท่านั้นแหละ มันจะเป็นอาวุธที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณรอดได้!

๔/๒๙/๒๕๕๒

วิชาชีพ...ทำคนนอยด์















ลองคิดดูหากวันนึงคุณเริ่มมาเอ่ะใจว่าเริ่มมีสิ่งที่ไม่สมดุลเกิดขึ้นในชีวิต เช่นรับสายที่โทรผิดบ่อยๆ หรืออยู่ดีๆเพื่อนบ้านก็เริ่มเสียงดัง หมาข้างบ้านเห่าแบบไม่มีสาเหตุ อะไรก็ได้ที่คุณพอจะนึกออก เพราะอะไรก็ได้ที่ทำให้เกิดเสียงดังระหว่างวันโดยคนกลุ่มนั้นดูเหมือนว่าจะแบ่งกะเพื่อสามารถรบกวนคุณได้ทั้งวันเสียด้วย มีคนป้วนเปี่ยนรอบๆบ้านคุณทั้งวัน เสียงสัญญานกันขโมย เสียงฆ้อนทุบข้างบ้าน (ทุบกันเป็นเดือนๆ) และอื่นๆที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามีคนอยู่รอบข้างคุณมากกว่าวันไหนๆ ไม่ว่าคุณจะไปไหนคนที่คุณไม่รู้จักต่างไอดังๆเหมือนส่งสัญญานอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่ยืนคุยกันหรือหัวเราะเมื่อคุณอยู่ใกล้ นั้นมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น และมากกว่าจากเดิมที่เคยเป็นมาหากวัดโดยสถิติ ทำให้คุณรู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไร คนพวกนี้จะทำให้คุณเสียสมาธิ สิ่งที่ทำให้เสียสมาธิเหล่านี้จะมีมากขึ้น(รอบตัวคุณ) มากขึ้นในระดับที่เรียกว่ามากกว่าสถิติปกติที่เคยพบมา และเมื่อผ่านวัน ผ่านเดือน หรือผ่านปี ไปปรากฏการณ์บ้าๆนี้ก็ยังดำเนินอยู่ (ฝรั่งเรียกว่า Noise Campaign)

มันคือ organized stalking และเหยื่อที่เป็นเป้านั้นจะเจอสถานการณ์แบบนี้ทุกวัน อะไรที่เป็นเหมือนกับสิ่งผิดปกติของวัน หรือวันซวย กลับเกิดขึ้นกับเหยื่อหลายๆครั้งในแต่ละวันจนหลายคนไม่อาจสามารถบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและคงยากหากจะหาคำจำกัดความ ผมรู้ก็เพราะว่าผมเป็นเหยื่อของ organized stalking เป็นเดือนที่ 8 ที่ผมถูกพวกจิตวิทยาหมู่คุกคามชีวิต และความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือที่ทำงาน สิ่งนี้ณ.ปัจจุบันอาจไม่ได้เป็นอะไรที่น่าสนใจโดยคนทั่วไปและสื่อ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องราวของเหยื่อหลายๆคนที่ถูกกลั่นแกล้งนั้นจะเริ่มโผล่ออกมาให้เห็นกันในไม่ช้าโดยเฉพาะบน internet เนื่องจากภัยคุกคามเช่นนี้นั้นเริ่มเป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลาย ในระดับที่เกินกว่าความบังเอิญ ในปัจจุบันเหยื่อของ organized stalking นั้นมักถูกมองว่า "เลอะเทอะ" หรือ "เพี้ยน" หากเล่าให้คนรอบข้างฟัง สำหรับตัวผมเอง ผมใช้เวลากว่า 6 เดือน เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ (ระหว่างที่ถูกเล่นงานทำให้ผมขาดงานไป 1 เดือนเต็มๆ...เกือบตกงานเลยล่ะ) ปัญหาคือหากผมไม่ออกมาพูดวันนี้ อีกนานแค่ไหนล่ะที่สังคมจะได้รับรู้ว่ามันมีกลุ่มคนประเภทนี้อยู่จริง แถมยังติดอาวุธ hi-tech ที่ใช้คลื่นอิเล็กโทรแมคเนติกเป็นอาวุธเพื่อใช้โดยมีเจตนาก่อกวนและทำลายชีวิตของเป้าหมาย

สาเหตุที่ผมเรียกพวกมันว่าจิตวิทยาหมู่เพราะว่ามันคือกลยุทธที่ใช้ในการครอบงำและ มันถูกใช้เพื่อครอบงำชีวิตของเหยื่อในทุกๆด้าน เหยื่อนั้นจะถูกตามและจะถูกลุกล้ำความเป็นส่วนตัวในทุกๆที่ที่ไปตลอด 24 ชม.โดยหน่วยข่าวกรองที่ใช่หรืออาจไม่ใช้ตำรวจ (คือพวกที่อยากเล่นบทตำรวจหรือสายลับหรือ Cop wanna be) เหยื่อหลายคนถูกคุกคามและเฝ้าติดตาม คุกคามความเป็นส่วนตัว เป็นเดือนหรืออาจเป็นปีก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองนั้นตกเป็นเหยื่อ

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเฝ้าจับตามองของรัฐบาล แต่จะมีสักกี่คนล่ะที่รู้? จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสิ่งแบบนี้เกิดขึ้นได้กับผู้คนเป็นแสนๆคนในโลกแล้วขณะนี้? เพราะได้มีคนทั่วโลกที่ได้ทะยอยเปิดเผยพฤติกรรมลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกๆแห่ง ไม่ว่าจะเป็น USA, UK, Japan, Korea, Russia, China

สิ่งที่พวกเค้าทำนั้นผิดศีลธรรมและไร้ซึ่งมนุษยธรรม และในบางกรณีสิ่งนี้แหละที่ชี้นำให้เหยื่อที่อ่อนแอและลงเอยด้วยการฆาตรกรรมหมู่และฆ่าตัวตาย

ผิดก็คือผิดนั่นแหละ! ไม่สำคัญว่าจะเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื่องหลังหรือใครก็ตาม มันก็เหมือนกับพูดว่าการกระทำชำเราผู้อื่นนั้น “OK” หากรัฐบาลเป็นคนทำ แต่มัน “ผิดนะ” หากคนอื่นทำ จริงๆแล้วใครทำก็ผิดนั่นแหละเพราะมันคือการฆ่าและการทรมาณคนอื่น คนปกติทั่วไปเค้าไม่รู้กันหรอกว่าถูกตามอยู่ หรือแม้กระทั้งว่าทำไมรัฐบาจึงอยากจะตามพวกเค้า มันอาจจะง่ายไปหากจะโทษรัฐบาลอีกหน่อยคงเริ่มมีอาชีพรับจ้างในการใช้จิตวิทยาหมู่เล่นงานศัตรู วันนึงหากคุณไม่ได้เป็นเหยื่อ คุณอาจเป็นลูกค้าก็ได้ ... จริงมั้ย?

Organized Stalking ... จาก Wikipedia


ระบบของกลุ่มคนหรือองค์กรที่ใช้จิตวิทยาหมู่เป็นกลยุทธเพื่อใช้คุกคามบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นศัตรู กลยุทธที่ใช้นั้นค่อนข้างละเอียดอ่อนแต่ถือเป็นเทคนิกที่มีประสิทธิภาพในการติดตามโดยใช้บุคลากรมากมายเพื่อจิตวิทยาข่มขู่ และครอบงำอย่างช้าๆ เหยื่อนั้นอาจลงเอยด้วยการไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ซึ่งจะถูกมองว่า "บ้า" เนื่องจากความละเอียดอ่อนของกลยุทธรวมทั้งอุปกรณ์ (อาวุธอิเลคโทรแมคเนติก) ที่ใช้กับเหยื่อทำให้ไม่ทิ้งหลักฐานของการถูกคุกคาม และมักลงเอยด้วยการสรุปว่าเหยื่อนั้นมีอาการทางจิตหรือเป็นบ้า

กลยุทธในการใช้จิตวิทยาหมู่เพื่อติดตามนั้นมีมากมายโดยกลุ่มคนพวกนี้จะนำมาใช้ให้สอดคล้องกับพรฤติกรรมของและบุคลิกของเหยื่อ วิธีการติดตามที่ใช้บ่อยๆคือการเดินตาม ขับรถตาม ห้อมล้อมเหยื่อในที่สาธารณะ พูดสบประมาทเหยื่อในที่สาธารณะโดยแสร้งทำเป็นพูดกับเพื่อน นั่งอยู่บนรถที่จอดใกล้บ้านเหยื่อ หาเรื่องเหยื่อในที่สาธารณะ ขโมยของและทำลายข้าวของของเหยื่อ


๔/๒๘/๒๕๕๒

อาวุธไมโครเวฟ - อาชญากรเทคโนโลยีรูปแบบใหม่!

เดี้ยวนี้มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาชญากรและผู้ก่อการร้ายที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน และสำหรับผู้ที่ชอบทำผิดกฏหมายแล้วพวกมันชอบใช้ในทางที่ผิด และเมื่อคนกลุ่มนี้นำอุปกรณ์ Hi-tech เหล่านี้มาใช้กับเป้าหมาย ผู้ที่ตกเป็นเป้าจะไม่ถูก "ยิง" ทว่าเป้าหมายนั้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะถูกกระหน่ำด้วยคลื่นอิเล็กโทรแมคเนติกความถี่สูง (high-frequency electromagnetic) โดยอุปกรณ์ Hi-tech ที่เรียกว่า Directed Energy Weapon (DEW) โดยอุปกรณ์นี้ถูกใช้โดยกองทัพ (U.S. Air force, Russian หรือ Chinese armies) บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ Hi-tech ชื่อ Raytheon กล่าวว่า "เราเชื่อว่าสิ่งที่เราผลิตขึ้นมานั้นจะเปลี่ยนปัจใจหลักๆในการต่อสู้ในสงคราม อุปกรณ์ HPM (High power microwave) คืออุปกรณ์ที่มีศักยภาพที่สุดในขณะนี้"

ในขณะที่หนังสือพิมพ์เยอรมันนี "DIE WELT" ก็รับรู้ถึงการใช้อาวุธไมโครเวฟที่กำลังจะมีอย่างแพร่หลายในศตวรรษที่ 21 การถูกโจมตีโดย อาวุธไมโครเวฟจะทำให้ร่างการอ่อนเพลีย ปวดหัว หัวใจเต็นผิดปกติ ท้องร่วง ทำลายระบบประสาทสัมผัส และระบบภายในร่างกาย สามารถเผาใหม่เนื้อเยื่อ และทำลายม่านตา ซึ่งหากการโจมตีนั้นกินระยะเวลาที่ยาว เหยื่ออาจ ตาบอด หัวใจล้มเหลว ช๊อค และเป็นมะเร็ง ผลกระทบระยะสั่นจากการถูกโจมตีโดยอาวุธไมโครเวฟคือการทำให้เหยื่อดูเหมือนเป็นบ้า หรือถูกมองว่าเป็นคนอันตรายของสังคม

อาชญากร HPM (High power microwave) คืออาชญากรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยองค์กร International Union of Radio Science ได้เคยให้คำแถลงการเกี่ยวกับทางออกของอาชญากรรมโดยใช้เครื่องมือ electromagnetic ว่า "มันคือความจริงที่ว่าอาชญากรที่นำคลื่นอิเล็กโทรแมคเนติกมาใช้ประโยชน์นั้นมีความสามารถในการดำเนินกิจกรรมได้อย่างลับๆ ผ่านวัตถุต่างๆที่ขวางกั้น ไม่ว่าจะเป็นรั้วบ้านหรือแม้กระทั้งกำแพงห้องนอน ผ่านการทะลุทะลวงของคลื่นอิเล็กโทรแมคเนติก"

ผู้เชี่ยวชาญชื่อ Pevler กล่าวว่า "การสร้างอาวุธ HPM (High power microwave) ขึ้นมาใช้อย่าแพร่หลายนั้นสักวันหนึ่งก็ต้องตกอยู่ในมือของอาชญากร ที่จะให้ประโยชน์กับอาวุธเหล่านี้ในการก่ออาชญากรรมที่ปราศจากร่องรอย การถูกโจมตีโดยอาวุธ HPM นั้นจะไม่ทิ้งร่องรอยเพื่อใช้เป็นหลักฐาน และผลลัพท์ของมันอาจเพียงทำให้เกิดแค่ความรำคาญ หรืออาจถึงขั้นพบจุดจบที่หายนะได้เลยทีเดียว"

อาวุธ HPM ที่พวกแก้งค์ Hi-tech ใช้กันนั้นจะยิงคลื่นความถี่ (เป็น continuous หรือ pulse wave) ไปที่เหยื่อช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะตอนกลางคืนคลื่นอิเล็กโทรแมคเนติกนั้นอาจถูกยิงจากรถหรืออาคารที่อยู่รอบๆบ้านเหยื่อ พวกเค้าจะใช้ magnetron หรือเครื่องแปลงไมโครเวฟ หรือเครื่อง amplifier หรืออาจเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกัน นอกเหนือจากนั้นพวกเค้าจะใช้ through wall imaging method (วิธีในการมองลอดกำแพงโดยใช้กล้องที่ทำงานพร้อมกับคลื่นอิเล็กโทรแมกแนติกเพื่อให้ได้สามารถมองทะลุกำแพง) ปัจจุบันมีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในเยรมันนีแล้วไม่ต่ำกว่า 400 คน บางคนยังถูกโจมตีเลยแม้กระทั้งที่โรงพยาบาล แต่ตำรวจนั้นยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับอาวุธชนิดนี้

นอกเหนือจากอาวุธแล้วอาชญากรเหล่านี้ใช้ยุทธวิธีการโจมตีโดยใช้ข้อมูลข่าวสาร (Information warfare) นั้นคือ รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเหยื่อ และอย่าให้เหยื่อรู้อะไรเกี่ยวกับคุณ ครอบงำโดยข้อมูลข่าวสาร และทำให้เหยื่อสับสนกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ

เครือข่ายอาชญากรเหล่านี้นั้นมีบุคลากรมากมายทางด้านเทคนิคและในด้านอุปกรณ์ นั้นก็หมายความว่าศักยภาพในการเล็งคลื่นอิเล็กโทรแมกแนติกใส่เป้าหมายที่สามารถทำได้จากรถกระบะหรือรถตู้ ส่วนอุปกรณ์แปลงคลื่นไมโครเวฟ นั้นสามารถซ่อนในกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย

เหยื่อส่วนใหญ่จะถูกเล่นงานโดยกลยุทธ "สองเด้ง"(double strategy) หนึ่งคือเหยื่อจะถูกทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ทำให้เจ็บ ถูกทรมาณ หรือถูกคุกคามและทำให้กลัว โดยการนำ อาวุธอิเล็กโทรแมคเนติกมาเล่นงาน ระหว่างนั้นเหยื่อจะสัมผัสปรากฏการณ์ต่างๆรอบข้างที่ "เหลือเชื่อ" ในลักษณะที่ไม่มีใครที่จะเชื่อในสิ่งที่เหยื่อเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และโดยส่วนใหญ่จะถูกตีความว่าเหยื่อนั้น บ้า หรือเพ้อเจ้อ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ทำงานกับกองทัพเยรมันนี หรือ Nato จะรู้จักอาวุธอิเล็กโทรแมคเนติกเหล่านี้ดี แต่การที่อาวุธนี้ถูกจัดเป็นความลับนั้นทำให้ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมัน

๔/๒๔/๒๕๕๒

ถาม-ตอบ

1. ใครที่อยู่เบื่องหลังกลุ่ม Gang Stalking?
  • กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ - ใช้โดยบริษัทใหญ่ๆเพื่อการตามเหยื่อที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อองค์กร
  • กลุ่มอาชญากร - กลุ่มนี้จะมีเครือข่ายของอาชญากรต่างๆที่สามารถใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
2. ใครคือผู้ที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูเป็นภัยคุกคามต่อองค์กร?
  • Whistleblowers - แปลตรงตัวว่า “ผู้เปิดหวูด” ในที่นี้หมายถึงผู้ทรยศโดยการเปิดเผยความลับขององค์กรที่ตนสังกัดต่อผู้อื่น
  • Activists - (แอค’ ทิวิสทฺ) n. ผู้ดำเนินการที่มีความกระตือรือร้น, ผู้ยึดถือทฤษฎี -activism n.
3. กลุ่ม gang stalking เป็นใคร?
  • เป็นเหมือนทหารเอกชน
  • ส่วนใหญ่จะเป็นอาชญากรมาก่อน
  • พวกเค้ามีเป้าหมายที่เป็นเหยื่อที่มีส่วนข้องเกี่ยวกับนโยบายองค์กร
  • พวกนี้รับ job จากองค์กรหรือบริษัทเพื่อการแก้แค้น
  • พวกเค้ามีอำนาจในการทำลายชีวิตเหยื่อ (ทำให้ตกต่ำ)
4. คนพวกนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากไหน?
  • จากองค์กร
  • จากกลุ่มอาชญากรรม
  • พวกใต้ดินที่ทำการปล้นหรือขายยา
  • เหยื่อคือที่มาของรายได้ของคนกลุ่มนี้
  • ธุรกิจของการติดตามเหยื่อนั้นคือธุรกิจของคนเหล่านี้ (หรืออาจมองว่าทีม Black mail ก็ไม่ผิด)
  • ผู้ที่รับผลประโยชน์หลักคือหัวหน้ากลุ่มที่มักจะไม่เปิดเผย
5. ใครเป็นหัวหน้า?
  • พวกหัวหน้าทีมมักสร้างภาพให้ตัวเองดูยิ่งใหญ่เกินกว่าความเป็นจริง
  • พวกเค้าจะได้รับความเคารพนับถือจากกลุ่ม
  • โดยทั้วไป เบื่องหลังของคนเหล่านี้นั้นยากที่จะเข้าถึง เนื่องจากถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับหน่อยงานความมั้นคงของประเทศ
  • พวกหัวหน้ามักเสแสร้งว่าทีมของเค้านั้นมีไว้ใช้เพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
  • โดยทั่วไปกิจกรรมที่ลูกน้องทำนั้นจะไม่เกี่ยวพันกับตัวหัวหน้าทีมเลย
6. คนเป็นหัวหน้าได้อะไร?
  • เงิน และ/หรือ
  • อำนาจทางการเมือง
7. คนในแก๊งค์ได้อะไร?
  • คนพวกนี้เชื่อว่าได้ตอบสนองเป้าหมายและความต้องการของกลุ่ม ถึงแม้พวกเค้าอาจจะไม่ค่อยเข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงนัก
  • พวกเค้ามีความสุขกับหมู่เพื่อนๆ และความสุขนั้นคือการติดตามเป้าหมายและคุกคามเป้าหมายในรูปแบบต่างๆและที่มักเกี่ยวข้องกับการแก้แค้นหรื่อสั่งสอนบุคคล
  • บางคนถูกดึงเข้าไปในกลุ่มเนื่องจากได้เคยตกเป็นเหยื่อมาก่อนจึงทำให้ตัวเองรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจในการปกป้องตัวเอง รู้สึกต้อยต่ำ หรือ โกรธแค้น และเมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแล้วจึงใ้อำนาจที่ได้เอาไปลงกับเหยื่อรายใหม่
8. จิตวิทยาเบื่องหลังคนพวกนี้คืออะไร?
  • มันคือ Game
- คนพวกนี้มาพร้อมกับชัยชนะตลอด เค้าชนะในการเล่น game กับเหยื่อทุกราย
- มันไม่สำคัญสำหรับพวกมันหากเหยื่อจะไม่เล่นกับมัน
- มันไม่สำคัญหากเหยื่อรหรือเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง
- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกมันต้องรู้ว่า ในหมู่พวกมัน ใครกำลังทำอะไรกันอยู่บ้าง
  • มันคือความเพลิดเพลิน
  • มันคือความลุ่มหลง (ในการกลั่นแกล้ง)
- ซึ่งบางคนเลิกไม่ได้
- สิ่งที่มันทำเติมได้เต็มความต้องการในการเป็นมนุษย์ของพวกมัน
  • มันคือกลุ่มคนที่ขี้สงสัย
- พวกมันจึงอยากจะรู้ทุกๆอย่างและทุกๆเรื่องของเหยื่อ
- พวกมันใช้เวลาส่วนใหญ่เล่าสู่กันฟังว่ามันทำอะไรไปบ้างแล้วเหยื่อนั้นตอบสนองอย่างไร ซึ่งบางทีอาจจะไม่ใช้สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
  • พวกมันเป็นพวกบ้าลัทธิ
- มีลักษณะที่เป็นกลุ่มคนที่ "เก็บเนื้อเก็บตัว" และมักรวมตัวเพื่อพบปะกันอยู่เสมอ

9. พวกมันทำยังไงเพื่อบรรลุเป้าหมาย?
  • หลายๆกลยุทธจะถูกนำมาใช้เพื่อดูว่าเหยื่อตอบสนองอย่างไร
  • กลยุทธที่ทำให้เหยื่อเต้น (ที่ใช้ได้ผล) นั้นจะถูกนำมาใช้ใหม่
  • แล้วมันก็หารือกันในกลุ่มแล้ววิจารณ์ว่าเหยื่อนั้นถูก sensitize หรือไม่?
10. พวกมันเล่นงานเหยื่อนานแค่ไหน?
  • เหยื่อส่วนใหญถูกเล่นงานเป็นปี
  • การย้ายที่อยู่นั้นไม่ได้ช่วยอะไร เหยื่อย้ายไปไหนก็จะตกเป็นเป้าอยู่ดี

๔/๒๓/๒๕๕๒

Mind Control ทำได้จริง!

มาตรการรับมือ

เนื่องจาก Gang Stalking นั้นเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ มันจึงสำคัญที่คุณต้องรู้วิธีรับมือกับมัน 3 วิธีหลักในการรับมือกับมันคือ:

  1. ต้องมีสติ
  2. สร้างเครือข่ายสังคมใหม่ๆ
  3. เผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้นให้สังคมรอบข้างคุณรับรู้

การมีสตินั้นสำคัญเพราะคุณจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หากคุณขาดมัน เพราะว่าหากคุณมีความคิดโดยยึดหลักเหตุและผลจะสามารถบรรเทาความหงุดหงิดจากกิจกรรมที่พวกมันกำลังทำอยู่รอบๆตัวคุณ ดังนั้นควรพักผ่อนให้เพียงพอและอยู่ห่างๆยาเสพติด อย่าไปหาจิตแพทย์หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เพราะเดี้ยวมันจะไปกันใหญ่ อย่าลืมว่าเป้าหมายพวกมันคือการทำให้คุณโดดเดี่ยวเดียวดายโดยการกุเรื่องหรือสร้างข่าวลือเกี่ยวกับตัวคุณ ดังนั้นคุณควรรีบสร้่างเครือข่ายสังคมใหม่ๆทันทีเพื่อไม่ให้มันสามารถทำลายชีวิตคุณ เพราะหากคุณมีโอกาศในการพบกับผู้คนเยอะๆ มันทำให้ยากสำหรับคนพวกนี้ในการควบคุมการสื่อสารของคุณ และสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องทำคือ เมื่อคุณเข้าใจแนวคิดและการกระทำของพวกเค้าแล้วค่อยๆบอกกับคนใกล้ชิดให้เข้าใจว่าคุณน่ะกำลัง”โดนเล่น”อยู่ เพราะการที่คนใกล้ชิดคุณนั้นรับฟังด้วยความเข้าใจนั้นจะเป็นเสมือนกำลังใจที่ดีที่สุดเลยล่ะ แต่ถ้าหากคุณยังอยู่ในสภาวะที่ “กำลังเดา” อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกูว่ะ?...แล้วรีบกระโดดโลดเต้นไปเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจะไปเล่าให้ใครฟังได้อย่างไรล่ะหากตัวคุณเองยังเดาอยู่เลยว่าปรากฏการณ์ที่เจอมันคืออะไร มันไม่ต่างจากการที่คุณถามเพื่อคุณว่า “เฮ้ย! อะไรมันคืออะไรว่ะ?” คำตอบก็คือ “แล้วกูจะไปรู้ได้ไงว่ะ” สุดท้ายคนที่จะถูกหาว่าบ้าจะเป็นใครไปได้...คุณไง! สิ่งนี้แหละจะยิ่งส่งเสริมให้พวกนั้นบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้นในการโดดเดี่ยวคุณเลยล่ะ...ทีนี้พอจะเห็นภาพกันรึยัง?

๔/๒๑/๒๕๕๒

Tips (for victims)

ข้อควรปฏิบัติ

1. หากคุณจะทำให้วันของพวกมันแย่...อย่าทำให้วันของคุณเป็นวันแย่ๆ
2. อย่าให้พวกมันควบคุมคุณด้วยความโกรธและความผิดหวังจากอุปสรรค์ต่างๆ
3. แรงจูงใจของพวกเค้าคืออำนาจ ที่ใช้ในทางที่ผิดเพื่อครอบงำคุณ (เหมือนพวกข่มขืนหรือตุ๋ยเด็ก)
4. อย่าเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงของพวกมัน (ที่เรียกว่า street theater)
5. หากคุณอยู่ท่ามกลางการแาสงของพวกมัน แกล้งทำตัวเหมือนเป็นเพียงแค่คนดู
6. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณต้องใจเย็นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน นอกบ้านหรือบนถนน คนเหล่านี้มีความสามารถที่จะชักนำให้คุณกระทำพฤติกรรมกร้าวร้าวหรือทำให้ทำ ผิดกฏหมาย (ในกรณีที่จะใช้เป็นเครื่องต่อรอง) อย่าให้มันยั่วคุณได้เพราะหากคุณควบคุมอารมณ์ได้ก็จะกลายเป็นวันแย่ๆของพวก มัน
7. หากคุณอดทนได้นานพอคุณก็จะเริ่มรู้แนวของคนพวกนี้และจะชินไปเอง นั่นจะสามารถช่วยทำให้ลดระดับความกังวลได้ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน และหัวเสีย
8. ห้าม เดาเด็ดขาด (Never, ever assume) ต้อง make sure ว่าคุณรู้คำตอบทุกครั้งก่อนที่คุณจะถาม และอย่าออกอาการ
9. การที่คุณไม่ออกอาการ และไม่แสดงความสงสัย หรือความโกรธออกมานั้นจะช่วยให้ทำให้วันของพวกมันเป็นวันที่แย่
10. จำไว้ว่าพวกมันเป็นพวก hyperactive เพราะฉะนั้นคาดการณ์ไว้ก่อนเลยว่ามันจะหาทางเล่นคุณแน่ๆ เพราะมันไม่ค่อยสามารถควบคุมตัวมันเองได้(หากคุณเฉยๆ) มันต้องการครอบงำคุณเพราะพวกมันเองก็เป็นโรคจิต (บ้าอำนาจ)
11. หากคนรอบข้างคุณมีอะไรทียุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมให้อยู่ห่างๆซะ
12. อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
13. ห้ามตกงานเป็นอันขาด ไม่ว่าคุณจะถูกคุกคามหรือกลั่นแกล้งหนักแค่ไหน
14. คุณจะเปราะบางกับการโจมตีของมันมากหากคุณสูญเสียรายได้
15. หากคุณได้มีโอกาศเข้าวัด บอกได้เลยว่าพวกมันไปแน่ เพราะมันคงไม่พลาดที่จะไปชำระบาบที่มันทำไว้
16. บอกกับทุกคนที่คุณพบที่วัดว่าคุณเป็นเหยื่อของการติดตามคุกคาม เพราะคนที่นั่นน่าจะเป็นกลุ่มคนที่เห็นใจคุณ ห่วงใย ให้อภัย และเข้าใจคุณ...คุณว่ามั้ย?
17. หากเป็นไปได้ทำประกันไว้ ประกันทุกชนิดเพราะมันอาจทำอะไรที่คาดไม่ถึงหากวิธีปกติของมันใช้ไม่ได้ผล
18. เปลียนเบอร์มือถือคุณซะ
19. หากคุณอยู่ในละครที่ถูกจัดฉากไว้ แกล้งโง่ หรือ แกล้งลืมซะ แล้วกล่าวขอโทษ (อย่าลืมยิ้มล่ะ) อย่าทำให้สถานการตรึงเครียด
20. เป้าหมายคุณคือ อย่าให้พวกนั้นยุให้คุณทำอะไรโง่ๆ หรือทำให้ตัวเองเพี้ยน
21. อย่าทำเป็นเก่ง เพราะพวกมันไม่ชอบให้ตัวเองดูโง่

เพื่อเตรียมตัวสำหรับการโดนเล่นให้ไปหาหนังเรื่อง Gas Light มาดู หรือหากอยากรู้มากขึ้นลอง search "forensic psychology" มันเป็นพวกที่ใส่ใจกับสิ่งภายนอก แล้วมันก็พูดมากด้วย มันจะเฝ้าสังเกตคุณและมองหาว่าอะไรบ้างที่สามารถใช้ควบคุมคุณได้ หรือจะต้องกดปุ่มอะไรเพื่อให้คุณเต้น เพราะฉะนั้นเต้นให้ถูกจังหวะ

Introduction

ครั้งเมื่อผมได้สัมผัสประสบการณ์ “ทิงนองนอยด์” ด้วยตัวเอง ผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างในชีวิตผมดูเหมือนปกติดี แต่จริงๆแล้วมันไม่ และในช่องเวลาแย่ๆเหล่านั้นผมได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถอธิบาย หรือเรียบเรียงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับผม เพื่อสนับสนุนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น มันไม่ใช้ความซวย ไม่ได้เพี้ยน ไม่ได้บ้า แต่จริงๆแล้วกำลังถูกกลั่นแกล้งโดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง โดยคนกลุ่มนี้จะใช้จิตวิทยาหมู่เล่นงานเป้าหมาย (ผมจะขอเรียกวิธีที่เค้าใช้ว่า “จ๊ะทิงจา” แล้วกัน) ทำให้ชีวิตของเป้าหมายนั้นฉิบหายแบบช้าๆ ซึ่งเป็นการทรมาร ซึ่งที่อาจใช้เวลาเป็นปี และไม่สามารถเอาผิดอะไรได้เลยทางกฎหมาย

การที่คนหนึ่งคนนั้นถูก
“จ๊ะทิงจา” นั้นเป็นการถูกกลั่นแกล้งโดยใช้หลักจิตวิทยา ที่ทำให้เป้าหมายนั้นโดดเดี่ยวโดยลำพัง และจึงค่อยๆทำลายชีวิตของเป้าหมายเมื่อวันเวลาผ่านไป เช่น ทำให้ตกงาน ทำให้มีปัญหากับครอบครัวหรือกับเพื่อนและคนรอบข้าง ทำให้คนรอบข้างเข้าใจว่าเป้าหมายนั้นมีปัญหาทางจิต วิธีการหรือเทคนิคที่ใช้ในการ “จ๊ะทิงจา” นั้นส่วนมากจะไม่ทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานใดๆที่ใช้ในการพิสูตรว่าเป้าหมาย นั้นถูกกลั่นแกล้ง หลายๆคนนั้นถูกเฝ้าติดตาม และถูกกลั่นแกล้งหลายเดือนบ้างเป็นปี ก่อนที่ตัวเองจะรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นเป้า ของทีม “จ๊ะทิงจา” มันคือวิธีที่กลุ่มคนเหล่านี้ใช้เพื่อควบคุมความประพฤติเป้าหมาย หรือเพื่อล่อเป้าหมายให้ติดกับเพื่อทำการจับกุมภายหลัง ทำลายชีวิตเป้าหมายทุกๆรูปแบบ เหยื่อหลายคนถูกดึงเข้าไปในเกมจิตวิทยาบัดซบนี้จนถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มีไม่ น้อย

เป้าหมายของการ “จ๊ะทิงจา” คืออะไร?

เป้า หมายคือการแยกเหยื่อออกจากสังคมและความช่วยเหลือ เพื่อกลั่นแกล้งเพื่อความสะใจ หรือเพื่อเตรียม set up การจับกุมในอนาคต ส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ (หลังการจับกุม) จนถึงขั้นกดดันให้เป้าหมายนั้นฆ่าตัวตาย เป้าหมายหลักของการ
“จ๊ะทิงจา” คือการทำลายชื่อเสียงรวมทั้งความน่าเชื่อถือ และทำให้เหยื่อนั้นดูเหมือนบ้า หรือ มีปัญหาเกี่ยวกับจิต

เป้าหมายอีกอย่างของการ
“จ๊ะทิงจา” คือการกระตุ้นเหยื่อให้เกิดความอ่อนไหว โดยนำหลักการจิตวิทยามาใช้เพื่อควบคุมเหยื่อ วิธีนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sensitizing

ข้อแนะนำหากคุณคือเป้าหมายของการ "จ๊ะทิงจา"

หากคุณคิดว่าคุณกำลังเป็นเหยื่อของกลุ่มคนเหล่านี้สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ "นิ่งไว้" และอย่าได้แสดงความรู้สึกออกมาแม้ว่าสถานการณ์รอบข้างนั้นจะผิดปกติเพียงใด และที่สำคัญ "อย่าเพิ่งคิดอะไรไปเอง" คุณต้องเริ่มทำความเข้าใจเสียก่อนว่าเบื่องหลังและที่มาของปัจจัยรอบข้าง ต่างๆที่กำลังทำให้เรานอยด์นั้นเป็นเพราะอะไร และเมื่อคุณได้เพียง "รู้" เท่านั้นแหละมันก็จะกลายเป็น "อาวุธที่ดีที่สุดที่คุณมี" ที่จะใช้ในการปกป้องตัวคุณเองจากจิตวิทยาเกมบัดซบที่คนเหล่านี้กำลังดึงคุณ เข้าไปเล่น คนพวกนี้ถูกฝึกมา เหมือนที่มนักแสดงและผู้กำกับ พวกเค้าจะใช้เวลาศึกษาคุณอย่างละเอียด และเข้าใจพฤติกรรมคุณอย่างดี ผมเองก็อยากที่จะเจอผู้กำกับกับเค้าซะที แน่นอน...ผมคงมีผู้กำกับส่วนตัวของผมอยู่แล้วแต่ไม่เคยรู้เท่านั้นเอง

จำไว้ "No Player - No Game" และเมื่อคุณทำความเข้าใจกับมันได้เมื่อไหร่ ก็ถึงตาคุณที่จะต้องช่วยตัวคุณเอง!





ความหมายของ Sensitization

ผู้ที่เป็นเหยื่อจะต้องเข้าใจความหมายของ Sensitization (ซึ่งภาษาไทยหมายความว่า vt. ทำให้ไว,ทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้น,ทำให้เกิดภูมิแพ้(โรค),ทำให้รับการกระตุ้นได้ง่าย)

ให้ระวังในการตั่งสมมุติฐานเกี่ยวกับกลุ่มคนที่กำลัง "จ๊ะทิงจา" กับคุณ บวกกับทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับคอนเซ็ปของ "sensitization" เพราะพฤติกรรมของคุณนั้นถูกกระตุ้นและตอบสนองในรูปแบบที่กลุ่มคนที่ใช้จิตวิทยาหมู่นั้นต้องการให้เป็น

พวกเค้าจะมีกิจกรรมที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อ ทำให้คุณรู้ ว่าเค้ากำลัง "จ๊ะทิงจา" กับคุณอยู่ พวกเค้าตั่งใจทำให้คุณรู้ว่าคุณกำลังถูกติดตาม ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณขับรถ จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่คุณจะเห็นรถที่ติดสติกเกอร์ "Playboy" แล้วสักพักรถที่ติดสติกเกอร์เหล่านั้นก็จะหายไป มันคงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากหากอยู่ดีๆคุณขับไปไหนก็เจอแต่รถที่มีสติกเกอร์แบบนั้น ทั้งๆที่ก่อนหน้ามันอาจจะมีบ้าง(แต่ไม่มากขนาดทุกๆที่ที่คุณไป) สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ เมื่อคุณเห็นสติกเกอร์นั้นเมื่อไหร่ มันก็เหมือนกับสื่อให้คุณเข้าใจ ว่าคุณน่ะถูกติดตาม เหมือนกับเวลาคนที่เดินในห้างหันมาจ้องหน้าและเขม่นผมด้วยความโกรธนั้นมีความเป็นไปได้ 99% ว่าเค้าจะเป็นที่จะมา "จ๊ะทิงจา" เพราะว่าผมไม่ได้ไปทำอะไรให้เค้าไม่พอใจถึงขนาดต้องจ้องแบบเคียดแค้นขนาดนั้น

Sensitization นั้นมี domino effect ต่อผู้ที่ถูก "จ๊ะทิงจา" เหมือนคุณผลัก domino ชิ้นแรกลง ที่เหลือก็จะล้มไปเองโดยอัตโนมัติ คนกลุ่มนี้กำลังใช้ประโยชน์ของจิตวิทยาของมนุษย์ แล้วเมื่อเหยื่อนั้นตระหนักแล้วว่าตัวเองนั้นถูกติดตาม กลยุทธที่เค้าจะเอามาใช้นั้นจะละเอียดอ่อนมากขึ้น ซึ่งยากที่จะแยกได้ว่าเหตุการแต่ละเหตุการนั้นปกติหรือไม่ แต่ที่แน่ๆมันจะเกิดขึ้นทุกวัน สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือมุมมองหรือทัศนวิสัยของคุณที่มีต่อสิ่งรอบข้างเกี่ยวกับอะไรที่ "ปกติ" นั้นจะหายไป และจะนำไปสู่การตอบสนองกับสิ่งต่างๆรอบข้างที่ไม่เกี่ยวกับการถูก "จ๊ะทิงจา" ตัวอย่างเช่น

อาจจะเป็นช่วงเวลาสัก 1 เดือน ที่ทีม "จ๊ะทิงจา" นั้นถูกส่งมาปั่นหัวคุณและสมมุติว่าพวกมันทุกคนจะถือคอมพิวเตอร์ notebook พวกเค้าจะทำอะไรให้คุณเห็นแบบ "จ็ะๆ" เช่นจ้องหน้าคุณนานๆ หรือยิ้มหรือหัวเราะกันเป็นกลุ่มแล้วหันมามองคุณเพื่อให้คุณสนใจ อะไรก็ได้ที่ทำแล้วผิดปกติเพื่อทำให้คุณสนใจนั้นแหละ (ศัพท์เทคนิคเรียกว่า "Blitz campaign") ผลก็คือ notebook ก็จะกลายเป็นอะไรที่เกี่ยวพันกับการ "จ๊ะทิงจา" แล้วมันก็เป็นเจตนาของพวกจิตวิทยาหมู่ (พวกมันจะ "เน้นมา" เลยล่ะ) หากคุณไม่รู้รูปแบบการโจมตีโดยใช้จิตวิทยาหมู่มาก่อนคุณก็จะถูก "sensitized" (แล้ว domino ชิ้นแรกก็ถูกผลักล้มลงแล้ว!)

หลังจากนั้นพวกมันก็จะลดจำนวนคนที่ใช้ในการ "จ๊ะทิงจา" กับคุณ (ยังมี Notebook อยู่ เช่นเคย) แล้วก็ยังทำอะไรบ้าๆบอๆ พอที่จะทำให้คุณสนใจ จนถึงจุดๆนึงแล้วมันทั้งหมดก็จะหยุด ตอนนี้แหละจึงทำให้คุณ "คิดว่า" หรือ "เดาว่า"คนที่คุณเห็นถือ notebook นั้นต้องเป็นพวก "จ๊ะทิงจา" แน่ๆ (domino ที่เหลืออยู่ก็จะล้มไปเอง) ปัญหาก็คือมีผู้คนตั่งมากมายที่ถือ notebook แล้วเดินไปมาตามท้องถนนโดยปกติอยู่แล้ว บางครั้งจิตวิทยาหมู่อาจทำให้คุณ "นอยด์สุดๆ " ได้ถึงขั้นไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าอะไรคือ "ปกติ" เพราะคุณจะเครียดทุกครั้งเมื่อคุณเห็นคนถือ notebook ยิ่งเห็นมากเท่าไหร่ความสงสัย (และความโกรธ) ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น และหากคุณโกรธจัด พวกนั้นก็ได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการได้เห็นคุณไปหาเรื่องกับคนที่ถือ notebook และคุณอาจลงเอยด้วยข้อหาทำร้างร่างกาย สุดท้ายมันไม่สำคัญว่าคนที่คุณเห็นนั้นจะเป็นหนึ่งในทีม "จ๊ะทิงจา" หรือไม่ เพราะสิ่งแวดล้อมจะทำให้คุณคิดว่าเค้าเป็น

และ notebook นั้นก็เป็นเพียงตัวอย่างของเงื่อนไขที่พวกมันสร้าง ซึ่งอาจเป็นอะไรก็ได้ มันอาจเป็นรถตู้สีขาว หรือ เสื้อพนักงานไปรษนีย์ ที่เค้าจะใช้ sensitize คุณ ไม่ว่าเค้าจะใช้อะไรก็ไม่สำคัญเพราะ เมื่อคุณถูก sensitize แล้ว คุณนั่นแหละที่จะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเอง!

ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังอยู่เสมอและอย่าลืมว่าอะไรคือ "ปกติ" แล้วก็ "ห้ามเดาเด็ดขาด" ไม่ว่าจะเป็นรถตู้สีขาว หรือเสี้อบุรุษไปรษนีย์ที่จะอาจมา "จ๊ะทิงจา" กับคุณ เราต้องต่อต้านการถูก sensitize (หรือการล้างสมอง) คุณอาจพูดกับตัวเองว่า เค้าคงไม่ใช้จะมา "จ๊ะทิงจา" เรามั้ง - เราจะไปสมมุติว่าเค้าเป็นไม่ได้ (ซึ่งอาจทำให้พวกจิตวิทยาหมู่บางคนนั้นยิ่งต้องหาวิธีอื่นๆเพื่อทำให้คุณสนใจ นั้นก็หมายความว่าเค้าก็จะเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย แต่หากว่าคุณมีปฏิกิริยากับสิ่งเล็กๆเหล่านี้คุณถูก sensitization แน่ และนั้นหมายความว่าพวกเค้าชนะ การต่อต้านการถูก sensitization นั้นเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นอย่าท้อแท้

เราจะต่อสู้กับมันอย่างไร?

วิธีที่ดีที่สุดคือการรวมกันเป็นกลุ่มและช่วยเหลือกันและกัน การที่เหยื่อถูกทำให้โดดเดี่ยวนั้นหมายความว่าพวกทีมจิตวิทยาหมู่นั้นกลัวว่าอาชยากรรมที่พวกมันร่วมทำกันอยู่นั้นอาจถูกเปิดโปง ซึ่งเหยื่อทุกคนสามารถเป็นกระบอกเสียงเพื่อบอกกับสังคมภายนอกว่านี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมของเรา ซึ่งในแวดวงจิตวิทยาจะเรียกว่า "normalizing" การที่มีคนพูดว่า "มัน OK นะหากคุณจะบอกว่ามีแกงค์ที่คอยติดตามคุณ" หรืออีกอย่างคือ อะไรก็ตามที่เรามองว่า "ผิดปกติ" โดยมุมมองที่แคบของคนส่วนใหญ่(เนื่องจากไม่ได้เจอกับตัว) ทำให้มันเป็นอะไรที่ "ปกติ" ผ่านการเปิดเผยเรื่องราวของเหยื่อบน blog นี้ เหมือนผู้หญิงที่ต้องอับอายกับการบอกกับสังคมว่าเค้าถูกข่มขืนจนกลายเป็นปมด้อยของชีวิต ใครก็ตามที่โดนพวกจิตวิทยาหมู่นั้นติดตาม (ถูกจ๊ะทิงจา) นั้นจะถูกมองว่าบ้าทันที ซึ่งความน่าเชื่อถือของเราจะถูกบั่นทอน ในทางกลับกันเราเองก็มีสิทธิ์เสรีภาพที่จะตะโกนบอกกับสังคมว่าไอ้การใช้จิตวิทยาหมู่นั้นเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย แล้วก็เกิดขึ้นทั่วไปด้วย เพราะฉะนั้นเนี้อหาทุกอย่างบน blog นี้จึงไม่ใช้อะไรที่ใหม่ เพียงแต่หลายท่านอาจไม่รู้มาก่อนเท่านั้นเอง

การรวมตัวกันของเหยื่ออาจเกิดความเสี่ยงให้กับพวก "จ๊ะทิงจา" เพราะโดยหลักพวกเค้าจะใช้กฏหมาหมู่ เราอย่าไปยอมให้พวกมันหยุดเราได้ มิฉะนั้นสังคมคงอาจต้องรออีกนานแสนนานก่อนที่จะรู้ว่ากลุ่มคนพวกนี้มีตัวตนจริง

๔/๒๐/๒๕๕๒

ถูกคุกคามโดยอาวุธอิเล็กโทรนิค...มันเป็นไง?

การถูกโจมตีโดยอาวุธที่ใช้คลื่นเสียงเป็นกระสุนนั้นน่าจะเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดเพราะไม่มีทางที่คุณจะสามารถป้องกันตัวเองได้ หรือครอบครัวคุณ แม้กระทั้งคนที่คุณรัก คุณไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปว่าการอยู่ในห้องของคุณเป็นที่ที่ปลอดภัย เพราะผู้ที่โจมตีคุณนั้นสามารถมอง หรือเผาร่างกายคุณผ่านกำแพงด้วยอาวุธที่มีพลังงานหนาแน่นที่สามารถฆ่าคุณได้เลย ถึงจะเป็นตำรวจก็ช่วยคุณไม่ได้ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมอาวุธ(คลื่นเสียง) เหล่านี้จึงต้องถูกแบน

มันคืออาวุธที่มีอำนาจในการสังเกตการ ใช้ในการทรมาน และฆาตรกรรม โดยไม่ทิ้งหลักฐาน ผู้ที่ถือครองและใช้ประโยชน์จากอาวุธเทคโนโลยีสูงนี้จะครองโลกหากเราไม่หยุดพวกมัน ไม่ใช่วันพรุ่งนี้...แต่เดี้ยวนี้

การถูกคุกคามโดยอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคนั้นค่อนข้างจะเกี่ยวเนื่องกับ Gang Stalking (พวกที่ใช้จิตวิทยาหมู่) และเนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้นั้นจะมีกลุ่มคนมีสีอยู่เบื่องหลัง จึงเป็นไปได้มากว่าจะมีอุปกรณ์ อิเล็กโทรนิคที่ใช้เป็นอาวุธในการคุกคาม ฝรั่งจะเรียกว่า non-lethal weapons
เมื่อ Gang stalker ใช้อุปกรณ์ อิเล็กโทรนิคในการคุกคาม นั้นหมายความว่าพวกนั้นใช้ ไมโครเวฟ หรือ อุปกรณ์เสียง ในการโจมตี ตัวอย่างเช่น การใช้สัญญาน ULF, UHF, Infrasound หรือ คลื่นความถี่ประเภทอื่นในการคุกคามเหยื่อ ตัวอย่างเช่น อาวุธไมโครเวฟนั้นสามารถใช้จากระยะไกล ที่สามารถทะลุกำแพง (ตามรูปด้านล่าง) ดังนั้นหากคุณเป็นเหยื่อ ไม่ต้องคิดที่จะหนี เลย

อีกวิธีนึกในการคุกคามคือการใช้ V2K หรือ Voice to skull เมื่อถูกยิงใส่ เหยื่อจะได้ยิงเสียง (ได้ยินคนเดียว) V2Kคือการส่งสัญญานเสียงเป็นเส้นตรงเข้าสมองของเหยื่อ ดังนั้นหากเหยื่อยืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ จะไม่มีเพื่อนคนไหนได้ยินเสียงเลย ยกเว้นเหยื่อ ด้วนเทคโนโลยีการส่งสัญญานเสียงที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เหยื่อจะสามารถบอกว่าสิ่งรอบข้างนั้นผิดปกติ เพราะอยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ เพื่อนๆก็จะบอกว่า "นอยด์หรือเปล่ามึงอ่ะ?"

อุปกรณ์บางชนิดทำให้เหยื่อเห็นแสงขณะหลับตา (ในที่มืด) และบางคนอาจถูกอุปกรณ์เหล่านี้ฆ่าได้เนื่องจากกล้ามเนื้อจะถูกกระตุ้น (โดนเฉพาะกล้ามเนื่อ) และทำให้หัวใจล้มเหลวเป็นต้น
ไอ้พวกจิตวิทยาหมู่นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มฆาตรกรและสิ่งที่พวกมันทำคืออาชญากรรมที่หน้าตัวเมียที่สุดในศตวรรษนี้!

Gang Stalking คือจิตวิทยาหมู่

gang (ga[ng]):

A group of criminals or hoodlums who band together for mutual protection and profit.

stalk (stôk):

To follow or observe (a person) persistently, especially out of obsession or derangement.

gang stalk°ing:

A group of criminals or hoodlums who band together for mutual protection and profit to follow or observe (a person) persistently, especially out of obsession or derangement.

Also known as cause stalking, vengeance stalking, organized stalking and group stalking.



ชื่อที่เรียกว่า Gang Stalking นั้นจริงๆแล้วเป็นเพียงชื่อที่คนทั่วไปใช้กล่าวอ้างถึงปรากฏการณ์ มันถูกเรียกเช่นนั้นเนื่องจากวิธีปฏิบัติของกลุ่มคนที่ทำการติดตามเป้าหมายนั้นมีความคล้ายคลึงกับการติดตามหมู่ ทางด้านเทคนิคกลยุทธการติดตามดังกล่าวนั้นเป็นของพวกสืบสวนสอบสวน และสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนรอบข้างของเหยื่อที่ถูกติดตามหมู่อยู่นั้นอยู่ดีๆก็จะทำตัวแปลกไป หลายครั้งคนรอบข้างเหยื่อจะได้ข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในตัวเหยื่อ หรือทำให้เหยื่อดูเหมือนบ้าโดยใช้หลักการจิตวิทยาหมู่

มันจะไม่เหมือนกับการถูกแกล้งสมัยเรียน เพราะคนกลุ่มนี้จะอยู่ทุกที่ไม่ว่าคุณจะไปไหน หรือมาไหน และจะบางคนก็จะย้ายเข้าไปอยู่แถวบ้าน หรือ ห้องข้างๆของ apartment คุณ บ้างก็จะแทรกซึมเข้าไปที่ร้านอาหารที่คุณไปบ่อยๆ และแน่นอน ที่ทำงานของคุณคือที่หลักเลยล่ะที่พวกมันจะใช้เป็นศูยน์กลางการจัดฉาก

เป็าหมายของการใช้จิตวิทยาหมู่ในการติดตามเป้าหมายนั้นมีหลายแบบ อย่างแรกคือการทำให้เป้าหมายนั้นไม่มีที่อยู่ แล้วค่อยๆทำให้เกิดปัญหาทางการเงิน และเมื่อจิตวิทยาหมู่นั้นเริ่มขึ้นทั้งที่บ้านหรือที่ทำงาน ... ชีวิตคุณก็จะเริ่มเปลี่ยนไป เป้าหมายที่สองคือการสร้างภาพให้เห็นว่าเหยื่อนั้นมีปัญหาทางจิต (เหมือนกรณีหมอประกิจเผ่าที่โดนจิตวิทยาหมู่แล้วหลอกเอาตังค์) สุดท้ายก็ต้องลงเอยที่โรงบาลประสาท เป้าหมายที่สามที่แย่ที่สุด คือการใช้จิตวิทยาหมู่เพื่อกดดันให้เหยื่อฆ่าตัวตาย เนื่องจากการใช้จิตวิทยาหมู่นั้น จะทำลายความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบข้างทั้งหมดของเหยื่อ ทำให้เหยื่อรู้สึกไม่มีใครเข้าใจ หรือ บ้า และอาจทำให้เหยื่อฆ่าตัวตายในภายหลัง

พูดง่ายๆมันก็คือระบบ "หมาหมู่" ที่ใช้ในจับตาเหยื่อแบบ 24/7 ที่อยู่เหนือกฏหมายโดยมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลอยู่เบื่องหลัง ไม่ต้องใช้หลักฐานเพื่อเอาความผิด ไม่ต้องขึ้นศาลให้เสียเวลา และในบางกรณี "ข้อเท็จจริง" ก็ไม่สำคัญ ในเมื่อกูจะเล่นมึงซะอย่าง...มึงจะทำไม?